เนื่องจากในปัจจุบันทรีตเม้นท์ลดริ้วรอยและยกกระชับมีมากมายทำให้เกิดคำถามว่าจะใช้อ…
สรุปใจความสำคัญ
– โบท็อกซ์เริ่มต้นมาตั้งแต่สมัยยุคนโปเลียน โดยการค้นพบสารพิษที่มาจากการกินไส้กรอกแล้วไม่สบาย มีอาการเป็นอัมพาต
– Botox คือชื่อการค้าของบริษัท Allergan ซึ่งสกัดจากสาร Botulinum Toxin
โดยคำว่า Botulism แปลว่า โรคพิษที่มาจากไส้กรอก
– ต่อมามีนักวิทยศาสตร์หลายท่านศึกษาสาร Botulinum Toxin กันอย่างต่อเนื่อง
โดยสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เคยมีการวิจัยเพื่อจะนำสาร Botulinum Toxin ไปใช้เป็นอาวุธในสงครามโลกด้วย
– ปี 1989 FDA ได้อนุมัติให้ใช้ในการแพทย์เพื่อรักษาอาการตาเหล่ ตาเข
– ปี 2002 FDA ได้อนุมัติให้ใช้ในด้านความสวยงามเพื่อลดริ้วรอย รอยย่นต่างๆ
– จนในปัจจุบันได้รับการรับรองให้มาใช้ในเรื่องความสวยงาม ลดริ้วรอย รอยย่น
ช่วงยุค: นโปเลียน 1795-1813
บุคคลสำคัญ : Justinus Kerner
บทบาท : ค้นพบสารพิษที่มาจากไส้กรอก หรือโรค Botulism ( โรคพิษที่มาจากไส้กรอก ) ซึ่งมีรากศัพท์มาจากภาษาละตินคือ Botulus แปลว่าไส้กรอก
ช่วงระหว่างสมัยสงครามยุคนโปเลียนนั้นมีการระบาดของสารพิษที่มาจากไส้กรอก
Justinus Kerner นักสาธารณสุขอายุ 29 ปี ชาวเยอรมันค้นพบ สาร Botulinum Toxin ที่เป็นสารพิษที่มาจากไส้กรอก ซึ่ง ออกฤทธิ์ทำให้กล้ามเนื้อ่อนแรง หรือเป็นอัมพาตชั่วคราวได้
Kenner เริ่มใช้สาร Botulinum Toxin มาทดลองในสัตว์และต่อมาเริ่มทดลองกับตัวเอง โดย Kenner ทำนายว่าหากใช้สารพิษนี้ในปริมาณเล็กน้อยจะสามารถรักษาความผิดปกติต่างๆของ
ระบบประสาทได้ ซึ่งเป็นการทำนายล่วงหน้าถึง 200ปี และปัจจุบันคำทายนั้นก็เป็นจริง
ช่วงปี: 1895-1940
บุคคลสำคัญ : Emile-Pierre van Ermengen ชาวเบลเยี่ยม
บทบาท : ค้นพบว่าสาเหตุจากการกล้ามเนื้ออ่อนแรงและเหงื่อไม่ออกมาจากแบคทีเรียที่มีชื่อว่า
Clostridium Botulinum ซึ่งมีชื่อเรียกว่า Botulinum Toxin
ในช่วงปี : 1944
บุคคลสำคัญ: Dr. Schantz นักชีวเคมี
บทบาท: สกัดแยกสารพิษ Botulinum Toxin ให้อยู่ในรูปของ Crystalline ผู้ทดลองเพื่อใช้ในสงครามโลกในฐานะอาวุธ
Schantz สามารถสกัดแยกสารพิษ Botulinum Toxin ให้อยู่ในรูปของ Crystalline Form โดย Botulinum Toxin จะสกัดกั้นการหลั่งของสารสื่อประสาท โดยการปิดกั้นเส้นประสาทจากการส่งสัญญาณไปยังกล้ามเนื้อทำให้เป็นอัมพาตในระยะสั้น
นอกจากนี้ Dr. Schantz ยังเคยวิจัยถึงการนำ Botulinum Toxin ไปใช้เป็นอาวุธในสงครามโลกครั้งที่ 2 อีกด้วย อย่างไรก็ดีสุดท้ายแล้วไม่ได้มีการนำไปใช้แต่อย่างใด
ในช่วงปี : 1970-1978
บุคคลสำคัญ: Dr. Alan Brown Scott จักษุแพทย์ ชาวอเมริกัน
บทบาท: ประสบความสำเร็จในการฉีด ฺBotulinum Type A เพื่อรักษาอาการตาเหล่
Dr. Scott B ร่วมมือกับ Dr. Schantz นำ Botulinum Type A ซึ่งสมัยนั้นมีชื่อเรียกว่า “Oculinum” มาใช้รักษาโรค Strabismus (โรคตาเหล่ตาเข) ซึ่งเป็นอาการที่ตาสองขาไม่มองไปในทิศทางเดียวกัน มาใช้ในมนุษย์เป็นครั้งแรก และประสบความสำเร็จ
พยายามทดลองหาสารพิษที่ออกฤทธิ์ทำให้กล้ามเนื้อรอบดวงตาเป็นอัมพาต และพบว่า botulinum toxin สามารถนำมาใช้รักษาอาการตาเหล่ ตาเขในคนได้
ในช่วงปี : 1987
บุคคลสำคัญ: Dr. Jean Carruthers / Dr. J. Alastair Carruthers ชาวแคนาดา
บทบาท: ประสบความสำเร็จในการนำมาใช้กำจัดริ้วรอยในเรื่องความสวยความงาม
2 สามีภรรยา Carruthers ซึ่งภรรยาเป็นศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมพลาสติก และสามี เป็นแพทย์โรคผิวหนัง ได้ไปเยี่ยมเยียนห้องปฏิบัติการของ Scott โดยสามีภรรยาได้สังเกตว่าเมื่อใช้สารพิษตัวนี้ ในการรักษาอาการตากระตุก แล้วจะเกิดผลข้างเคียงทำให้รอยย่นจากการขมวดคิ้วจางลง จึงทำให้ทั้ง 2 คนนำ Botulinum Toxin มาศึกษาและวิจัยต่อ จนต่อมาสามารถตีพิมพ์บทความเกี่ยวกับการใช้ Botulinum Toxin เพื่อความสวยงามได้เป็นครั้งแรก
1989 – ปัจจุบัน
– บริษัท Allergan ได้รับการอนุมัติจาก องค์การอาหารและยา ( อย.) ของประเทศสหรัฐอเมริกา FDA ให้สามารถใช้ยาในการรักษาอาการตาเหล่ตาเขได้
– Allergan จดทะเบียนการค้าในนามว่า Botox ซึ่งเป็นชื่อที่ทุกคนรู้จักในฐานะ Botulinum Toxin
– ปี 2002 ต่อมาก็ได้รับอนุมัติให้ใช้ในด้านความสวยงามเพื่อลดริ้วรอย รอยย่นต่างๆ กันอย่างแพร่หลายจนถึงทุกวันนี้
– Present ปัจจุบันมีการใช้มากกว่า 100ล้านขวด ( โดยตัวเลขนี้มาจากประเทศ USA ประเทศเดียว) และมีตัวเลขเพิ่มขึ้นทุกปี
ปัจจุบันมีคลินิกที่ให้บริการฉีดโบท็อกซ์ที่หลากหลายแต่จะดีกว่าไหมถ้าเราสามารถ เลือกฉีดกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการรับรองจากบริษัท Allergan โดยตรง
DoctorTony เป็น AMITrainer ให้แก่บริษัท Allergan ผู้ผลิตโบทอกซ์และฟิลเลอร์แท้จากสหรัฐอเมริกานานกว่าสิบปี
และยังติดอันดับ Top 4 แพทย์ที่ฉีดโบทอกซ์และฟิลเลอร์มากที่สุดในประเทศไทยโดยบริษัท Allergan