CK1 หรือ Top Model Look คืออะไร จุด CK1 คือจุดที่อยู่บริเวณตรงโหนกแก้ม โ…
Anti-Aging คืออะไร
Anti-Aging หรือ เวชศาสตร์ชะลอวัย คือการดูแลสุขภาพจากภายในไม่ให้ความเสื่อมหรือความชราเกิดขึ้นหรือเกิดขึ้นให้ช้าที่สุด
โดยเน้นการรักษาสุขภาพจากภายในโดยองค์รวม เพื่อให้ร่างกายอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์แข็งแรงนานที่สุดและป้องกันไม่ให้ร่างกายเกิดอาการเจ็บป่วยและความเสื่อมสภาพในอนาคตอีกด้วย
สุขภาพในแต่ละช่วงอายุ
1: อายุ 0 – 25 ปี สุขภาพดี สมบูรณ์ สมดุลภายในของร่างกายดีที่สุด
2: อายุ 25 ปีขึ้นไป สุขภาพเริ่มเสื่อมสภาพ > เริ่มดูแลร่างกายด้วย Anti Aging
3: อายุ 25 ปีขึ้นไป สุขภาพเสื่อมสภาพภายในมากขึ้น > ไม่สบาย > รักษาตัวที่โรงพยาบาล>แต่ยังไม่สามารถรักษาให้หายได้> จำเป็นต้องใช้การรักษาทาง Anti-Aging
ซึ่งความแตกต่างระหว่างการตรวจสุขภาพของ Anti-Aging และ โรงพยาบาล คือ โรงพยาบาลจะทำการรักษาก็ต่อเมื่อร่างกายเข้าสู่ขั้นตอนป่วยแล้ว ในขณะที่ Anti Aging จะเริ่มทำการรักษาตั้งแต่ตรวจพบว่าร่างกายเริ่มเสื่อม เพื่อป้องกันไม่ให้ต้องไปถึงขั้นของการล้มป่วยหรืออวัยวะอื่นมีความเสื่อมถอยจนไม่สามารถย้อนกลับไปทำงานให้สมบูรณ์ดังเดิมได้อีก
วิธีการขั้นตอน
1: Consult : แพทย์จะสอบถามประวัติและตรวจร่างกายเบื้องต้นของคนไข้โดยละเอียด ทั้งในเรื่องของการใช้ชีวิตประจำวัน การรับประทานอาหาร การทำงาน การออกกำลังกาย การพักผ่อน การเข้านอนและการตื่นนอนในแต่ละวันเป็นอย่างไร เพื่อตรวจหาสมมุติฐานเบื้องต้นถึงสาเหตุของอาการผิดปกติหรือโรคที่เป็นอยู่
2: Analyze : แพทย์จะนำข้อมูลทั้งหมดที่ได้จากการสอบถามคนไข้และการตรวจร่างกายเบื้องต้นมาวิเคราะห์ และเลือกการตรวจสอบขั้นตอนต่อไปตามความเหมาะสมสำหรับแต่ละคน เช่น การตรวจหยดเลือดทางกล้องจุลทรรศน์เพื่อประเมินความผิดปกติเบื้องต้น ตรวจการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย ตรวจระดับฮอร์โมน ตรวจระดับวิตามิน แร่ธาตุ สารต้านอนุมูลอิสระ เป็นต้น
3: Check Up : การตรวจสุขภาพแบบ Anti-Aging จะใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย และได้มาตรฐานสากลระดับโลก เพราะการตรวจสุขภาพแบบ Anti-Aging จะลงลึกและละเอียดมากกว่าการตรวจสุขภาพแบบทั่วไปของโรงพยาบาล โดยจะสามารถวิเคราะห์ถึงการทำงานของระดับเซลล์ได้เลย ซึ่งถ้ามีการทำงานที่ผิดปกติของเซลล์ เราจะสามารถตรวจพบและแก้ไขได้อย่างรวดเร็วตั้งแต่เริ่มต้น
4: Treatment : แพทย์จะออกแบบโปรแกรมการรักษาแบบเฉพาะแต่ละบุคคลเพื่อความเหมาะสมและผลลัพธ์ที่ดีที่สุดให้กับคนไข้ โดยการรักษาจะมีการ follow up ทุกๆ 1-2 สัปดาห์ เพื่อติดตามผลและดูการเปลี่ยนแปลงการร่างกาย ทั้งนี้คนไข้จะสามารถเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนตั้งแต่ 2 ส้ปดาห์แรก
การรักษาในแนวทาง Anti-Aging
1: การปรับการใช้ชีวิตประจำวัน : การใช้ชีวิตที่สมดุลและถูกต้องคือวิธีรักษาร่างกายที่ดีที่สุดทางธรรมชาติ โดยแพทย์จะแนะนำคนไข้ในเรื่องของ การรับประทานอาหารที่ถูกต้อง การพักผ่อนที่เพียงพอ การออกกำลังกาย การจัดการกับความเครียด ซึ่งแต่ละคนจะมีการออกแบบการใช้ชีวิตแตกต่างกันไป เนื่องด้วยแต่ละคน สภาพร่างกายมีความแตกต่างกันไป
2: อาหารเสริมด้วยวิตามินและฮอร์โมน :
ในกรณีที่ร่างกายมีปัญหาในระบบการทำงาน หรือ ร่างกายเริ่มมีความเสื่อมด้วยอายุที่มากขึ้น
แพทย์จะแนะนำให้ใช้อาหารเสริมที่มาจากธรรมชาติ โดยออกแบบวิตามินและฮอร์โมนที่เหมาะสมในแต่ละบุคคลนั้นๆ โดยใช้ผลจากการตรวจเป็นข้อมูลอ้างอิง ซึ่งจะทำให้ร่างกานฟื้นฟูและซ่อมแซมตัวเองได้ดีมากขึ้นหากทำร่วมกับข้อที่ 1
3: กลุ่ม Stem Cell ,Placenta ,PRP
อีกหนึ่งวิธีที่ได้ผลดีและกำลังเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวาง นั่นก็คือการรักษาด้วย Stem Cell หรือ เซลล์ต้นกำเนิดนั่นเอง การรักษาด้วย Stem Cell ถือเป็นการรักษาที่ตรงจุดและแก้ที่สาเหตุโดยตรง เพราะเมื่อเราฉีด Stem Cell เข้าไปในร่างกาย Stem Cell จะเข้าไปช่วยสร้างและช่วยในการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนเซลล์ต่างๆ จากเซลล์เดิมที่เสื่อมสภาพหรือตายไป ทำให้ร่างกายเรากลับมาแข็งแรงเหมือนวัยหนุ่มวัยสาวอีกครั้ง การรักษาด้วย Stem Cell แพทย์จะพิจารณาการรักษาทางเลือกอื่นร่วมด้วยตามความเหมาะสม อาทิเช่น PRP :การรักษาด้วย Stem Cell จากเกล็ดเลือด , Placenta: การรักษาด้วย Growth Factor จากสารสกัดของรกเด็ก รวมกับการบำบัดรักษาด้วยอุปกรณ์การแพทย์ด้านชลอวัยที่มีความทันสมัยระดับสากล
กลุ่มคนที่ควรไปพบแพทย์เวชศาสตร์ชะลอวัย ได้แก่
1: กลุ่มคนที่มีความเสี่ยงจากกรรมพันธุ์ : อาทิ พ่อแม่หรือคนในครอบครัวมีประวัติป่วยเป็นโรคต่างๆ อาทิเช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง และโรคความดันโลหิตสูง
2: กลุ่มคนที่มีโรคประจำตัว : อาทิ โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคระบบกล้ามเนื้อ เส้นเอ็นอักเสบ โรคไขมันในเลือดสูง โรคผื่นคันผิดปกติต่างๆ , ภาวะอาการปวดเรื้อรังบางชนิด
3: กลุ่มคนที่อยากรักษาสุขภาพ ชะลอความแก่ :เพราะอาการบางอาการ เช่น เหนื่อยง่าย ไม่สดชื่นหลังตื่นนอน นอนไม่หลับ ซึ่งการไปตรวจที่โรงพยาบาลอาจจะยังไม่พบสาเหตุหรือสามารถแก้ไขได้ จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาแบบ Anti-Aging