Q & A

คำถามที่พบบ่อย

คุณเป็นคนหนึ่งที่อยากฉีดลดเรือนริ้วรอยแต่มีความกังวลหลายอย่าง เช่นห่วงเรื่องความปลอดภัย กลัวอันตรายจากสารเคมี กลัวหน้าแข็ง ออกมาไม่เป็นธรรมชาติ ไม่ต้องกังวลอีกต่อไปครับ ด้วย Technique การฉีด ลดเรือนริ้วรอย เฉพาะของ Dr.Tony และประสบการณ์ในการเป็นอาจารย์สอนแพทย์ทั้งในไทยและต่างประเทศฉีดลดเรือนริ้วรอย มากว่า 200 คน และฉีดลดเรือนริ้วรอย ให้คนไข้มากว่า 1000 คน จึงทำให้ประสบการณ์ฉีด ลดเรือนริ้วรอย ของคุณเปลี่ยนไปจากเดิม สวยมากขึ้น เจ็บน้อยลงด้วยเทคนิคพิเศษ และออกมาเป็นธรรมชาติครับ

หลายคนเข้าใจว่า ลดเรือนริ้วรอย คือสารพิษที่ทำให้กล้ามเนื้อเป็นอัมพาต แต่ความจริงแล้ว ลดเรือนริ้วรอย คือโปรตีนบริสุทธิ์ สกัดจากแบคทีเรีย ออกฤทธิ์ทำให้กล้ามเนื้อคลายตัวชั่วคราว ส่งผลให้ริ้วรอบจากการขยับกล้ามเนื้อลดเลือนลง Doctor Tony Clinic เลือกใช้เฉพาะ ลดเรือนริ้วรอย แท้จากบริษัท Allergan ผู้ผลิตจากสหรัฐอเมริกาเท่านั้น

สำหรับการฉีดริ้วรอยหางตา หน้า ผาก รอยขมวดคิ้ว ลดเหงื่อใต้วงแขน ฉีดยกหน้า ฉีดลดรอยย่นจมูก ฉีดลดเลือนรอยย่นเล็กๆใต้ตาสามารถเห็นผลได้ในเวลา 1-2 สัปดาห์ และออกฤทธิ์อยู่นาน 4-6 เดือน สำหรับการฉีดเพื่อหน้าเรียว ลดขนาดกราม และการฉีดลดน่อง สามารถอยู่ได้นาน 6-12 เดือน

หลังฉีดโบทอกซ์ควรเลี่ยงความร้อนจัด เช่น การเล่นโยคะร้อน อบซาวน่า เป็นเวลา 1-2 สัปดาห์ แต่แดดร้อน การออกกำลังไม่เป็นไรนะครับ คนไข้ที่ฉีดกรามแล้วกรามกลับมาใหญ่เร็ว ต้องสังเกตว่านอนกัดฟันตอนกลางคืนหรือไม่ ซึ่งจะทำให้กรามกลับมาใหญ่เร็ว นอกจากนี้การเคี้ยวหมากฝรั่งบ่อยๆ และการเคี้ยวของเหนียวๆแข็งๆ จะทำให้กรามกลับมาใหญ่เร็วขึ้นได้

คนทั่วไปเข้าใจว่าลดเรือนริ้วรอย สามารถลดเลือนริ้วรอยตีนกา รอยย่นหน้าผากได้ แต่น้อยคนจะรู้ว่า ลดเรือนริ้วรอย สามารถแก้ไขข้อบกพร่องบนใบหน้าอื่นๆได้ ได้แก่ การยิ้มเห็นเหงือก(gummy smile), รอยย่นจมูก, ริ้วรอยเล็กๆใต้ตา, ฉีดลดปีกจมูกบาน, ยกคิ้ว, ลดผิวขรุขระบริเวณคาง

การพิจารณาเรื่องราคาว่าเหมาะสมไหม? เพราะว่าถ้าถูกมากๆควรตั้งข้อสงสัยไว้ก่อนว่าแท้หรือปลอม อย่าด่วนตัดสินใจ ขอยกตัวอย่างจากคลินิคของผมแล้วกันครับ ผมใช้โบท๊อกซ์ และฟิลเลอร์ของแอลเลอร์แกน (Allergan) จากประเทศสหรัฐอเมริกา ราคราเริ่มต้นอยู่ที่จุดละ 6,000 บาท (เช่น ตีนกา 2 ข้าง) ราคาจะเพิ่มขึ้นตามจุด หรือบางทีถ้าดูแล้วคนไข้ต้องฉีดหลายที่ ทางคลินิคจะแนะนำให้เหมาขวดสำหรับฉีดทั้งหน้าและคอไปเลย ราคาอยู่ที่ขวดละ 30,000 บาท โดยประมาณต่อ 100 ยูนิต ขณะที่ฟิลเลอร์นั้นราคาเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ หลอดละ 18,000 บาทต่อ 1 มิลลิลิตร

คนส่วนใหญ่ที่มาใช้บริการมักกังวลหรือกลัวว่า ถ้าเคยฉีดโบท๊อกซ์แล้วไม่ฉีดต่อจะทำให้หน้าเหี่ยวกว่าเดิม ข้อนี้ไม่เป็นความจริงครับ ถ้าเคยฉีดแล้วหยุดฉีด อย่างมากสภาพผิวหน้าก็กลับไปเท่าเดิม แต่อาจจะมีริ้วรอยเพิ่มตามอายุที่มากขึ้นหรือตามปัจจัยแวดล้อม เช่น เมื่อตอนอายุ 35 ปี ฉีดโบท๊อกซ์ไป 2 ครั้ง (ฉีด 6 เดือนครั้ง) หน้าตึงไป 1 ปี หลังจากนั้นหยุดฉีด สภาพหน้าก็จะอยู่ที่ 36 ปีตามอายุปัจจุบัน
   ส่วนความรู้สึกที่ว่าเมื่อหยุดฉีดหน้าจะเหี่ยวกว่าเดิมนั้น เกิดจากการที่ฉีดโบท๊อกซ์แล้วผิวเต่งตึง​ระยะหนึ่ง ซึ่งก้มีตั้งแจ่หลายเดือนไปจนถึงเป็นปีตามความต่อเนื่องของการฉีด ผู้ใช้บริการบางคนจึงจำหน้าเดิมของตนไม่ได้ คิดว่าสวยด้วยตนเอง ดังนั้นพอหยุดฉีดริ้วรอยกลับมา เลยรู้สึกว่าใบหน้าเหี่ยวลงกว่าเดิม นี่เป็นสาเหตุที่ผมต้องถ่ายรูปผู้ใช้บริการทุกคนก่อนฉีดโบท๊อกซ์ไว้ก่อน เพื่อยืนยันว่าสมัยก่อนสภาพผิวหน้าเป็นอย่างนี้นะ อย่าลืม

เมื่อฉีดโบท็อกซ์เข้าไปในร่างกาย มันจะค่อยๆสลายตัวไปไม่เหลือตกค้าง แต่การฉีดซ้ำบ่อยๆหรือฉีดมากเกินไปจะทำให้กล้ามเนื้อที่จุดนั้นเป็นอัมพาต คืออาจกลายเป็นคน “หน้าตาย” ได้ หมายความว่า ไม่สามารถแสดงความรู้สึก บนใบหน้าได้ แม้จะหัวเราะ ร้องไห้ โกรธ​ หรือดีใจก็หน้าตาเหมือนเดิม หน้าตึงตลอด ซึ่งข้อเสียตรงจุดนี้อาจไม่เหมาะกับนักแสดงที่ต้องใช้การแสดงออกทางสีหน้าครับ
   นอกจากนี้ควรฉีดโบท็อกซ์เข็มต่อไปเมื่อโบท็อกซ์เดิมหมดฤทธิ์แล้ว คือประมาณ 4-6 เดือน และในการฉีดแต่ละครั้งควรฉีดในปริมาณที่เหมาะสม
   ทั้งนี้ระยะเวลาน้อยที่สุดในการฉีดเข็มต่อไปคือ 3 เดือน ถ้าถี่กว่านั้นอาจเสี่ยงต่อการดื้อโบท็อกซ์ได้ แม้จะใช้โบท็อกซ์ของแท้ก็ตาม

โดยทั่วไปไม่ควรฉีดโบท็อกซ์เกิน 200 ยูนิต ขึ้นกับสภาพปัญหาและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ (โดยทั่วไปโบท็อกซ์จะมี 2 ขนาด คือ ขวดบรรจุ 50 ยูนิต และขวดบรรจุ 100 ยูนิต)
สิ่งที่ควรระวังเป็นพิเศษ คือ
   - บริเวณริมฝีปาก แพทย์ส่วนใหญ่จะไม่แนะนำให้ฉีด เนื่องจากอาจทำให้ริมฝีปากเบี้ยวเวลายิ้ม
   - คนที่เคยทำศัลยกรรมพลาสติกหรือเคยผ่านการดึงหน้ามาก่อนต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะอาจมีปฎิกิริยาตอบสนองต่อโบท็อกซ์แตกต่างไปจากคนปกติ เนื่องจากเคยผ่านการตัดหนังและดึงหน้ามา เวลาจะฉีดจึงต้องดูจุดที่ฉีดและปริมาณยาที่เหมาะสม ไม่เช่นนั้นอาจทำให้สมดุลของใบหน้าแต่ละข้างไม่เท่ากัน เช่น หนังตาหย่อน คิ้วไม่อยู่ในแนวเดียวกัน เป็นต้น
ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเหล่านี้ควรปรึกษาแพทย์ก่อนฉีดโบท็อกซ์
   - อยู่ระหว่างตั้งครรภ์
   - อยู่ระหว่างให้นมบุตร
   - มีอายุมากกว่า 65 ขึ้นไป
   - เคยมีประวัติอาหารเป็นพิษ ที่เกิดจากเชื้อ BotulinumToxin
   - มีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงตรงบริเวณที่จะฉีดโบท็อกซ์
   - เป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (Myasthenia Gravis หรือ Lambert-Eaton Myasthenic Syndrome)
   - เป็นโรคเกี่ยวกับระบบประสาท
   - มีปัญหาปวดข้อ
   - มีประวัติแพ้อัลบูมิน (albunim หรือ ไข่ขาว)
   - มีแผลติดเชื้อบริเวณที่จะฉีดโบท็อกซ์
   - กำลังกินวิตามินอี หรือแปะก๊วย

เนื่องจากโบท็อกซ์เป็นโบทูลินัมท็อกซ์ซินชนิดเอที่สร้างและสกัดจากแบคทีเรีย คำว่า “ท็อกซิน” จึงแปลความหมายตรงตัวก็คือสารพิษ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วสารพิษโบทูลินัมท็อกซินนั้นมีอันตรายมาก กล่าวกันว่า มีอันตรายมากกว่าแก๊สซาริน (sarin gas) หรือจีบีที่เคยใช้เป็นอาวุธเคมีอานุภาพทำลายล้างสูงหนึ่งแสนถึงสามล้านเท่า หรือเราอาจเคยได้ยินว่ามีการนำสารพิษโบทูลินัมท็อกซินไปทำอาวุธชีวภาพ
   ดังนั้นการนำสารพิษอันตรายร้ายแรงขนาดนี้มาทำเป็นยาหรือนำมาใช้เสริมความงามได้นั้น ในขั้นตอนการผลิตและพัฒนาผลิตภัณฑ์จึงต้องมีความระมัดระวังมาก
   หากเราไปฉีดโบท็อกซ์ปลอมซึ่งไม่ทราบที่มาว่ามีกรรมวิธีการผลิตอย่างไร ขนาดบรรจุได้มาตรฐานหรือไม่ ก็อาจมีอันตรายได้ เช่น เคยมีการตรวจพบว่าในโบท็อกซ์ปลอมบางขวดที่ระบุปริมาณไว้ 100 ยูนิต แต่เมื่อตรวจสอบพบว่ามีปริมาณถึง 600 ยูนิต ซึ่งเกิดจากกระบวนการผลิตที่ไม่ได้มาตรฐาน นอกจากมีความเสี่ยงทำให้ใบหน้าบิดเบี้ยวจนเสียโฉมได้แล้วยังอาจทำให้เสียชีวิตได้ ในต่างประเทศก็เคยมีข่าวคนไข้ที่เสียชีวิตจากการฉีดโบท็อกซ์ปลอมให้เห็นเหมือนกัน
   ดังนั้นไม่คุ้มเลยที่จะต้องเอาชีวิตมาเสี่ยงเพื่อเห็นแก่ของราคาถูก

เดี๋ยวนี้มีผู้ชายมาฉีดโบท็อกซ์และฟิลเลอร์เพิ่มขึ้น แต่การฉีดในผู้ชายนั้นแพทย์ต้องดูความเหมาะสมด้วย คือควรจะคงโครงหน้าแบบผู้ชายเอาไว้ ไม่ใช่ฉีดแล้วดูหน้าหวานแบบผู้หญิง