เสริมจมูกแบบไหนดี เทคนิคแต่ละแบบต่างกันยังไง
ปัจจุบันเทคนิคการผ่าตัดเสริมจมูกที่นิยม มีอยู่ 3 เทคนิค ซึ่งแต่ละเทคนิคจะมีข้อดี ข้อเสียที่แตกต่างกัน และยังต้องพิจารณาเฉพาะเคสว่าแต่ละคนเหมาะกับเทคนิคไหน เพื่อให้ผลลัพธ์หลังทำออกมาได้สวยตรงใจ ทรงจมูกรับกับใบหน้า และมีความเป็นธรรมชาติที่สุด เรามาดูกันดีกว่าว่าแต่ละเทคนิค มีข้อดีอะไร และคุณเหมาะกับเทคนิคไหนมากที่สุด
เทคนิคเสริมจมูกแบบ Close Rhinoplasty
เทคนิคยอดนิยม เป็นการผ่าตัดเปิดแผลจากข้างใน แผลมีขนาดเล็กภายในรูจมูก กระทบต่อเนื้อเยื่อน้อย ใช้ระยะเวลาผ่าตัดไม่นาน พักฟื้นน้อย และเห็นผลลัพธ์ได้รวดเร็ว แต่ข้อเสียคือ การผ่าตัดแบบ Close Rhinoplasty จะไม่สามารถเห็นปัญหาภายในโครงสร้างจมูก อาจปรับแต่งจมูกได้ไม่มาก
ข้อดีของการเสริมจมูกแบบ Close Rhinoplasty
- ราคาถูกกว่าการผ่าตัดแบบเปิด
- บวมช้ำน้อย ใช้เวลาพักฟื้นน้อย
- การดูแลรักษาแผลหลังผ่าตัดง่าย
- ใช้ระยะเวลาผ่าตัดไม่นาน
- ไม่จำเป็นต้องดมยาสลบ
เสริมจมูกแบบ Close Rhinoplasty เหมาะกับใคร ?
- ผู้ที่มีไม่มีปัญหาโครงสร้างจมูก
- ผู้ที่มีเนื้อจมูกไม่สั้น และมีเนื้อหุ้มหนาพอสมควร
- ผู้ที่ต้องการเพิ่มความโด่งให้กับทรงจมูก
เทคนิคเสริมจมูกแบบ Semi Open Rhinoplasty
เทคนิคนี้เป็นการผ่าตัดเสริมจมูกแบบกึ่งเปิด โดยจะเปิดแผลด้านซ้ายขวาของรูจมูก เพื่อแก้ปัญหาโครงสร้างของจมูก ซึ่งจะเห็นปัญหาได้ชัดเจนกว่าแบบปิด จุดเด่น คือ สามารถเย็บอินเตอร์โดม ตกแต่งปลายจมูกเรียว พุ่งสวยกว่าเดิมได้ แถมยังลดโอกาสซิลิโคนเบี้ยว เอี้ยงได้
ข้อดีของการเสริมจมูกแบบ Semi Open Rhinoplasty
- ให้ผลลัพธ์ทรงจมูกเรียว ปลายพุ่ง ทรงสวยสโลป
- ราคาถูกกว่าการเสริมจมูกแบบเปิด
- ช่วยลดโอกาสรูจมูกไม่เท่ากัน ซ่อนรอยแผลไว้ในรูจมูก
- ลดความเสี่ยงซิลิโคนเบี้ยว เอียงหรือทะลุ
เสริมจมูกแบบ Semi Open Rhinoplasty เหมาะกับใคร ?
- ผู้ที่ต้องการทรงจมูกที่สวย และไม่มีปัญหาโครงสร้างจมูก
- ผู้ที่ผ่าตัดแก้ไขทรงจมูกใหม่ จากปัญหาซิลิโคนเบี้ยว เอียง ทะลุ
เทคนิคเสริมจมูกแบบ Open Rhinoplasty
เทคนิคนี้เป็นการผ่าตัดที่เปิดแผลเพื่อให้เห็นโครงสร้างภายในจมูกได้อย่างชัดเจนและแก้ไขปัญหาของทรงจมูกได้อย่างตรงจุดที่สุด เหมาะกับผู้ที่มีการแก้จมูกมาแล้วหลายครั้ง และต้องการยืดผนังกั้นจมูก เนื่องจากเกิดพังผืดดึงรั้ง หรือต้องการแก้ไขจมูกเนื่องจากโครงสร้างจมูกเดิม ซึ่งเทคนิคนี้ยังสามารถนำเอากระดูกอ่อนหลังหู หรือกระดูกอ่อนซี่โครงมาใช้ร่วมด้วยในเติมปลายจมูกเพื่อทำให้ปลายจมูกยาวขึ้น ลดความเสี่ยงปลายจมูกทะลุ
ข้อดีของการเสริมจมูกแบบ Open Rhinoplasty
- ผลลัพธ์ทรงจมูกตามที่ต้องการ ปลายพุ่ง ปลายหยดน้ำ แม้เนื้อจมูกน้อย
- ลดความเสี่ยงซิลิโคนทะลุ เบี้ยง หรือเอียง
- ตกแต่งจมูกให้เรียวสวย ผลลัพธ์เป็นธรรมชาติ
เสริมจมูกแบบ Open Rhinoplasty เหมาะกับใคร ?
- ผู้ที่มีปัญหาเนื้อจมูกน้อย, จมูกสั้น, จมูกคดเบี้ยวผิดรูป
- ผู้ที่มีปัญหาจมูกมีฮัมพ์สูง
- ผู้ที่ผ่านการทำศัลยกรรมเสริมจมูกมาแล้วจนเกิดพังผืดสะสม
- ผู้ที่ผ่านการฉีดสารเติมเต็มอย่างฟิลเลอร์ หรือซิลิโคนเหลว
เทคนิคการเสริมจมูกแต่ละแบบจะมีข้อดี จุดเด่นและความเหมาะสมกับบุคคลที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งในแต่ละเทคนิค จะประกอบไปด้วยเทคนิคย่อย ๆ ร่วมด้วย ดังนั้น ก่อนการผ่าตัดศัลยกรรมเสริมจมูก ควรปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญการ เพื่อวิเคราะห์ปัญหาของโครงสร้างจมูกว่าเหมาะกับวิธีไหนมากที่สุด เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาหลังการผ่าตัด และเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สวยงาม ดูเป็นธรรมชาติ ปลอดภัย
วิธีดูแลตัวเองหลังเสริมจมูก
- 1-3 วันแรกให้ประคบเย็นด้วยเจลประคบเย็น (โคลด์แพ็ค) และหลังจากวันที่ 3 ให้เปลี่ยนเป็นประคบอุ่นประมาณ 3 วัน โดยจุดประคบเย็นมีทั้งหมด 6 จุด ดังนี้
- 1.1.เบ้าตา – ด้านซ้าย
- 1.2.เบ้าตา – ด้านขวา
- 1.3.หน้าแก้ม – ด้านซ้าย
- 1.4.หน้าแก้ม – ด้านขวา
- 1.5.ระหว่างคิ้ว
- นอนยกหัวสูง (ควรใช้หมอนรองคอช่วย) และหลีกเลี่ยงการนอนตะแคง 1 เดือน
- งด รับประทานของหมักดอง และอาหารที่มีรสจัด แนะนำให้ทานอาหารที่มีรสชาติอ่อน ในช่วง 1 เดือน
- งดดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่ 1 เดือน
- ห้าม แคะ แกะ หรือเกา บริเวณจมูก หากรู้สึกคันให้ใช้คอตตอนบัด หรือสำลีชุบน้ำเกลือเช็ดเบา ๆ และระวังอย่าให้จมูกได้รับการกระทบกระเทือน
- ระวัง อย่าให้แผลโดนน้ำ ประมาณ 1 อาทิตย์
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก หรือกีฬาประเภทที่ใช้แรงกระแทก เป็นเวลา 4 สัปดาห์
- รับประทานยาตามคำแนะนำของแพทย์ เช่น ยาลดบวม ยาแก้ปวด ยาฆ่าเชื้อ และมาพบแพทย์ตามนัด
- การทำแผลใช้คอตตอนบัดชุบน้ำเกลือเช็ดแผล และทาขี้ผึ้งฆ่าเชื้อ วันละ 1-2 ครั้ง จนกว่าไหมจะหลุดหมด
อาการหลังการศัลยกรรมที่ต้องเจอเป็นเรื่องปกติ
- อาการบวมช้ำ
อาจเกิดขึ้นได้ 2-3 วัน สามารถแก้ได้ด้วยการประคบเย็น 3 วัน หลังจากนั้นประคบอุ่นต่ออีก 3 วัน
- อาการตึงรั้งบริเวณแผล
อาจรู้สึกตึงในช่วงแรกหลังจากผ่าตัด เนื่องจากแผลยังไม่เข้าที่ อาจต้องรอประมาณ 5-7 วัน อาการตึงจึงจะค่อย ๆ ลดลง
- อาการเจ็บแผล ให้ทานยาแก้ปวด
อาจมีอาการในช่วง 2-3 วันแรก แต่เมื่อร่างกายเริ่มสร้างเนื้อเยื่อใหม่มารักษาแล้ว อาการเจ็บจะค่อย ๆ หายไป หรือหากมีอาการผิดปกติอื่น ๆ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที เช่น
1. แผลอักเสบ เช่น มีอาการเจ็บ ปวด แดง มีหนองไหล
2. เลือดไหลไม่หยุด
3. ความดันต่ำ หรือรู้สึกไม่มีแรง
อาหารหลังการศัลยกรรม 3 อย่างที่ห้ามทานเด็ดขาด!
- อาหารรสเผ็ด หรือร้อน
เพราะอาจทำให้มีน้ำมูกไหล เสี่ยงติดเชื้อ เนื่องจากน้ำมูกเป็นสารคัดหลั่งที่มีเชื้อโรค
- อาหารหมักดอง
จะทำให้แผลมีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย เช่น ส้มตำปลาร้า กุ้งแช่น้ำปลา หน่อไม้ดอง เป็นต้น
- อาหารทะเล หรืออาหารที่มีรสเค็ม
เนื่องจากมีโซเดียมสูง จะทำให้ร่างกายบวมน้ำ แผลหายช้า และอาจติดเชื้อได้