เสริมจมูกแบบไหนดี เทคนิคแต่ละแบบต่างกันยังไง

Doctor Tony Beauty Expert

เสริมจมูกแบบไหนดี เทคนิคแต่ละแบบต่างกันยังไง

ปัจจุบันเทคนิคการผ่าตัดเสริมจมูกที่นิยม มีอยู่ 3 เทคนิค ซึ่งแต่ละเทคนิคจะมีข้อดี ข้อเสียที่แตกต่างกัน และยังต้องพิจารณาเฉพาะเคสว่าแต่ละคนเหมาะกับเทคนิคไหน เพื่อให้ผลลัพธ์หลังทำออกมาได้สวยตรงใจ ทรงจมูกรับกับใบหน้า และมีความเป็นธรรมชาติที่สุด เรามาดูกันดีกว่าว่าแต่ละเทคนิค มีข้อดีอะไร และคุณเหมาะกับเทคนิคไหนมากที่สุด 

เทคนิคเสริมจมูกแบบ Close Rhinoplasty 

เทคนิคยอดนิยม เป็นการผ่าตัดเปิดแผลจากข้างใน แผลมีขนาดเล็กภายในรูจมูก กระทบต่อเนื้อเยื่อน้อย ใช้ระยะเวลาผ่าตัดไม่นาน พักฟื้นน้อย และเห็นผลลัพธ์ได้รวดเร็ว แต่ข้อเสียคือ การผ่าตัดแบบ Close Rhinoplasty จะไม่สามารถเห็นปัญหาภายในโครงสร้างจมูก อาจปรับแต่งจมูกได้ไม่มาก 

ข้อดีของการเสริมจมูกแบบ Close Rhinoplasty

  • ราคาถูกกว่าการผ่าตัดแบบเปิด 
  • บวมช้ำน้อย ใช้เวลาพักฟื้นน้อย 
  • การดูแลรักษาแผลหลังผ่าตัดง่าย  
  • ใช้ระยะเวลาผ่าตัดไม่นาน 
  • ไม่จำเป็นต้องดมยาสลบ 

เสริมจมูกแบบ Close Rhinoplasty เหมาะกับใคร ? 

  • ผู้ที่มีไม่มีปัญหาโครงสร้างจมูก
  • ผู้ที่มีเนื้อจมูกไม่สั้น และมีเนื้อหุ้มหนาพอสมควร
  • ผู้ที่ต้องการเพิ่มความโด่งให้กับทรงจมูก 

เทคนิคเสริมจมูกแบบ Semi Open Rhinoplasty 

เทคนิคนี้เป็นการผ่าตัดเสริมจมูกแบบกึ่งเปิด โดยจะเปิดแผลด้านซ้ายขวาของรูจมูก เพื่อแก้ปัญหาโครงสร้างของจมูก ซึ่งจะเห็นปัญหาได้ชัดเจนกว่าแบบปิด จุดเด่น คือ สามารถเย็บอินเตอร์โดม ตกแต่งปลายจมูกเรียว พุ่งสวยกว่าเดิมได้ แถมยังลดโอกาสซิลิโคนเบี้ยว เอี้ยงได้ 

ข้อดีของการเสริมจมูกแบบ Semi Open Rhinoplasty

  • ให้ผลลัพธ์ทรงจมูกเรียว ปลายพุ่ง ทรงสวยสโลป 
  • ราคาถูกกว่าการเสริมจมูกแบบเปิด 
  • ช่วยลดโอกาสรูจมูกไม่เท่ากัน ซ่อนรอยแผลไว้ในรูจมูก
  • ลดความเสี่ยงซิลิโคนเบี้ยว เอียงหรือทะลุ

เสริมจมูกแบบ Semi Open Rhinoplasty เหมาะกับใคร ? 

  • ผู้ที่ต้องการทรงจมูกที่สวย และไม่มีปัญหาโครงสร้างจมูก
  • ผู้ที่ผ่าตัดแก้ไขทรงจมูกใหม่ จากปัญหาซิลิโคนเบี้ยว เอียง ทะลุ

เทคนิคเสริมจมูกแบบ Open Rhinoplasty

เทคนิคนี้เป็นการผ่าตัดที่เปิดแผลเพื่อให้เห็นโครงสร้างภายในจมูกได้อย่างชัดเจนและแก้ไขปัญหาของทรงจมูกได้อย่างตรงจุดที่สุด เหมาะกับผู้ที่มีการแก้จมูกมาแล้วหลายครั้ง และต้องการยืดผนังกั้นจมูก เนื่องจากเกิดพังผืดดึงรั้ง หรือต้องการแก้ไขจมูกเนื่องจากโครงสร้างจมูกเดิม ซึ่งเทคนิคนี้ยังสามารถนำเอากระดูกอ่อนหลังหู หรือกระดูกอ่อนซี่โครงมาใช้ร่วมด้วยในเติมปลายจมูกเพื่อทำให้ปลายจมูกยาวขึ้น ลดความเสี่ยงปลายจมูกทะลุ

ข้อดีของการเสริมจมูกแบบ Open Rhinoplasty

  • ผลลัพธ์ทรงจมูกตามที่ต้องการ  ปลายพุ่ง ปลายหยดน้ำ แม้เนื้อจมูกน้อย
  • ลดความเสี่ยงซิลิโคนทะลุ เบี้ยง หรือเอียง
  • ตกแต่งจมูกให้เรียวสวย ผลลัพธ์เป็นธรรมชาติ

เสริมจมูกแบบ Open Rhinoplasty เหมาะกับใคร ? 

  • ผู้ที่มีปัญหาเนื้อจมูกน้อย, จมูกสั้น, จมูกคดเบี้ยวผิดรูป 
  • ผู้ที่มีปัญหาจมูกมีฮัมพ์สูง 
  • ผู้ที่ผ่านการทำศัลยกรรมเสริมจมูกมาแล้วจนเกิดพังผืดสะสม 
  • ผู้ที่ผ่านการฉีดสารเติมเต็มอย่างฟิลเลอร์ หรือซิลิโคนเหลว

เทคนิคการเสริมจมูกแต่ละแบบจะมีข้อดี จุดเด่นและความเหมาะสมกับบุคคลที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งในแต่ละเทคนิค จะประกอบไปด้วยเทคนิคย่อย ๆ ร่วมด้วย ดังนั้น ก่อนการผ่าตัดศัลยกรรมเสริมจมูก ควรปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญการ เพื่อวิเคราะห์ปัญหาของโครงสร้างจมูกว่าเหมาะกับวิธีไหนมากที่สุด เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาหลังการผ่าตัด และเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สวยงาม ดูเป็นธรรมชาติ ปลอดภัย

วิธีดูแลตัวเองหลังเสริมจมูก

  1. 1-3 วันแรกให้ประคบเย็นด้วยเจลประคบเย็น (โคลด์แพ็ค) และหลังจากวันที่ 3 ให้เปลี่ยนเป็นประคบอุ่นประมาณ 3 วัน โดยจุดประคบเย็นมีทั้งหมด 6 จุด ดังนี้
    1. 1.1.เบ้าตา – ด้านซ้าย 
    2. 1.2.เบ้าตา – ด้านขวา
    3. 1.3.หน้าแก้ม – ด้านซ้าย
    4. 1.4.หน้าแก้ม – ด้านขวา
    5. 1.5.ระหว่างคิ้ว
  2. นอนยกหัวสูง (ควรใช้หมอนรองคอช่วย) และหลีกเลี่ยงการนอนตะแคง 1 เดือน
  3. งด รับประทานของหมักดอง และอาหารที่มีรสจัด แนะนำให้ทานอาหารที่มีรสชาติอ่อน ในช่วง 1 เดือน 
  4. งดดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่ 1 เดือน
  5. ห้าม แคะ แกะ หรือเกา บริเวณจมูก หากรู้สึกคันให้ใช้คอตตอนบัด หรือสำลีชุบน้ำเกลือเช็ดเบา ๆ และระวังอย่าให้จมูกได้รับการกระทบกระเทือน
  6. ระวัง อย่าให้แผลโดนน้ำ ประมาณ 1 อาทิตย์
  7. หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก หรือกีฬาประเภทที่ใช้แรงกระแทก เป็นเวลา 4 สัปดาห์ 
  8. รับประทานยาตามคำแนะนำของแพทย์ เช่น ยาลดบวม ยาแก้ปวด ยาฆ่าเชื้อ และมาพบแพทย์ตามนัด
  9. การทำแผลใช้คอตตอนบัดชุบน้ำเกลือเช็ดแผล และทาขี้ผึ้งฆ่าเชื้อ วันละ 1-2 ครั้ง จนกว่าไหมจะหลุดหมด

อาการหลังการศัลยกรรมที่ต้องเจอเป็นเรื่องปกติ

  1. อาการบวมช้ำ
    อาจเกิดขึ้นได้ 2-3 วัน สามารถแก้ได้ด้วยการประคบเย็น 3 วัน หลังจากนั้นประคบอุ่นต่ออีก 3 วัน
  1. อาการตึงรั้งบริเวณแผล
    อาจรู้สึกตึงในช่วงแรกหลังจากผ่าตัด เนื่องจากแผลยังไม่เข้าที่ อาจต้องรอประมาณ 5-7 วัน อาการตึงจึงจะค่อย ๆ ลดลง
  1. อาการเจ็บแผล ให้ทานยาแก้ปวด
    อาจมีอาการในช่วง 2-3 วันแรก แต่เมื่อร่างกายเริ่มสร้างเนื้อเยื่อใหม่มารักษาแล้ว อาการเจ็บจะค่อย ๆ หายไป หรือหากมีอาการผิดปกติอื่น ๆ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที เช่น
    1. แผลอักเสบ เช่น มีอาการเจ็บ ปวด แดง มีหนองไหล
    2. เลือดไหลไม่หยุด
    3. ความดันต่ำ หรือรู้สึกไม่มีแรง

อาหารหลังการศัลยกรรม 3 อย่างที่ห้ามทานเด็ดขาด!

  1. อาหารรสเผ็ด หรือร้อน
    เพราะอาจทำให้มีน้ำมูกไหล เสี่ยงติดเชื้อ เนื่องจากน้ำมูกเป็นสารคัดหลั่งที่มีเชื้อโรค
  1. อาหารหมักดอง
    จะทำให้แผลมีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย เช่น ส้มตำปลาร้า กุ้งแช่น้ำปลา หน่อไม้ดอง เป็นต้น
  1. อาหารทะเล หรืออาหารที่มีรสเค็ม
    เนื่องจากมีโซเดียมสูง จะทำให้ร่างกายบวมน้ำ แผลหายช้า และอาจติดเชื้อได้

Testimonial

รีวิวจากลูกค้า

ตั้งแต่ได้มารักษาที่คลินิค Dr.Tony ก็รู้สึกประทับใจมากครับ ดูแลอย่างดีตั้งแต่ขั้นตอนการให้คำปรึกษา ระหว่างการรักษา และที่สำคัญ คือ การติตามผลอย่างต่อเนื่อง ผิวดีขึ้นจนคนรอบตัวทัก ความมั่นใจก็ตามมาครับ...

เคน - ศิลปินวง Zeal

ผู้ช่วยหรือคู่หูมาให้คำปรึกษาแนะนำเรื่องความสวยความงามให้สมกับวัยและดูเป็นธรรมชาติ ดิฉันให้คุณหมอต้อง วรพล แห่งดอกเตอร์โทนี่ คลินิคดูแลฉันมาตลอด...

มูนา อัลล์ ซารูนี่ณ์​

รักคุณหมอต้อง ประทับใจในฝีมือและความเป็นตัวจริงในเรื่องความสวยงาม คอยดูแลเราตลอด ดวงดีใจมากๆที่ได้พบคุณหมอ รู้สึกโชคดีที่มีกันและกันมาเสมอ
เก่งที่สุดต้อง “คุณหมอต้อง” แห่ง “ดอกเตอร์โทนี่คลินิค”…

ดวง มนตร์ลดา พงษ์พาณิช

เรื่องผิวพรรณ ผมไว้วางใจให้ Dr.Tony ดูแลครับ

แหนม รณเดชน์